Mass Keyword VS Niche Keyword
โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
http://www.trawut.com-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
ในการทำโฆษณาสินค้าใน Amazon นั้น เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า สามารถแบ่งวิธีการทำโฆษณา/ หา Keywords ออกได้เป็น 2 แบบ ก็คือ
1. โฆษณาแบบ Mass คือ การทำโฆษณาตัวเว็บไซต์ Amazon.com เลย เพื่อให้คนเข้ามาซื้อสินค้ากันในเว็บไซต์ จะเป็นสินค้าอะไร ยี่ห้ออะไรก็ได้ ซึ่ง Keywords ที่ใช้ก็เช่น online shopping, buying gift เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็น Keywords กลางๆ ที่เรียกให้คนเข้าเว็บไซต์มากๆ
2. โฆษณาแบบ Niche คือ การทำโฆษณาสินค้าเฉพาะบางอย่าง หรือ บางประเภทใน Amazon เพื่อให้คนที่สนใจสินค้าจริงๆ เจาะจงเข้ามาใน Amazon เพื่อซื้อสินค้าที่เราทำโฆษณาอยู่เลย ซึ่ง Keywords ที่ใช้ ก็จะเป็นประมาณ sony digital camera, Samsung hdtv เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็น Keywords ที่มีการะบุชื่อรุ่น หรือ ชื่อสินค้า ชัดเจนมากขึ้น
หรือสำหรับใครหลายๆคน อาจจะมีแยกแบบที่ 3 ออกมาด้วย ก็ได้คือ
3. โฆษณาแบบ Nass คือ การทำโฆษณาสินค้าชนิดต่างๆใน Amazon โดยไม่ได้มีการระบุลงลึกไปมากเท่าไหร่ เหมือนกับเน้นให้คนที่สนใจสินค้าชนิดนั้นๆ เข้ามาเลือกดูสินค้าแต่ละยี่ห้อ และตัดสินใจซื้อ สินค้าที่ดีที่สุดให้ตนเอง ซึ่ง Keywords ที่คนนำมาใช้โฆษณาแบบ Nass นี้ เช่น hdtv on sale, classic electric guitar, wedding diamond rings เป็นต้น
ซึ่งการโฆษณาแบบ Nass นี้ บางคนก็จัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับ Mass บางคน ก็จัดอยู่ในประเภทเดียวกับ Niche แล้วแต่ใครเห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าการโฆษณาแบบ Nass นี้ ก็คล้ายกับเป็นการนำคนจำนวนมากเข้ามาในเว็บไซต์ ด้วยความสนใจในสินค้าบางอย่าง แต่หลายๆครั้ง คนที่เข้ามาก็ไม่ได้ซื้อสินค้านั้นๆ กลับไปซื้อสินค้าอื่นแทน เหมือนเป็นลูกผสมระหว่าง Mass กับ Niche นั่นเอง
(เพื่อความสะดวก ผมก็ขอพูดถึงการโฆษณาแค่ 2 ประเภทนะครับ คือ แบบ Mass กับ แบบ Niche ส่วนแบบ Nass นั้น เพื่อนๆก็ไปตัดสินใจเอาเองนะครับว่า ต้องการนำเข้าไปรวมกับแบบใด)
เวลาใดก็ตามที่มีทางเดิน 2 ทางให้เราเลือก เราจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ต้องมีทางใดทางหนึ่งที่ดีกว่าอีกทาง ทำให้หลายๆคนคงเคยสงสัยว่า ตนเองควรจะทำโฆษณาแบบ Mass หรือแบบ Niche จะดีกว่ากัน อันไหนจะให้รายได้ที่ดีกว่า
คำตอบจากผมง่ายๆครับ คือ ลองทำและวัดผลดูทั้ง 2 แบบ เพราะตราบเท่าที่เรายังไม่เคยทดลองทำ เราจะไม่มีทางรู้ผลลัพธ์ได้เลยว่า อะไรดีกว่ากัน
และผมว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นกับบุคคลอีกด้วยครับ เพราะว่า กรรมเก่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน (ประสบการณ์ ความถนัด ความชอบ ความคุ้นเคย และอื่นๆ) ทำให้บางคนอาจจะถนัดและทำเงินจากแบบ Mass ได้มากกว่าแบบ Niche ในขณะที่บางคนทำโฆษณา Mass แทบตายไม่เคยได้เงิน แต่พอย้ายไปทำแบบ Niche ปุ๊บ ได้เงินปั๊บ
ผมก็ขอให้คำแนะนำในการเลือกโฆษณาทั้ง 2 แบบ ไว้ดังนี้ครับ
1. ถ้าหากเป็นไปได้ ควรทำโฆษณาทั้ง 2 แบบ
เพราะว่าระดับค่าคอมมิสชั่นใน Amazon จะเป็นแบบขั้นบันได ยิ่งเราขายสินค้าได้มากชิ้น ค่าคอมมิสชั่นเราก็จะเพิ่มไปด้วย เช่น เมื่อเราขายได้เกิน 630 ชิ้น เราจะได้ค่าคอมมิสชั่นถึง 8%
ดังนั้นเราควรจะทำโฆษณาแบบ Mass เพื่อให้ยอดสินค้าของเรามีมากๆในแต่ละเดือน เพื่อให้ค่าคอมมิสชั่นที่เราได้จากการทำโฆษณาแบบ Niche นั้น เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยกัน ก็จะเป็นวิธีการสร้างรายได้เพิ่มให้กับเราโดยอัตโนมัติครับ
2. โฆษณาแบบ Niche เฉพาะสินค้าที่มีราคาแพงๆ
เพราะว่า ยิ่งสินค้ามีราคาแพง เราก็จะได้รับค่าคอมมิสชั่นสูงไปด้วย จะทำให้เราสามารถเพิ่มค่า bid ใน PPC ต่างๆมากขึ้นไปได้อีก ก็จะทำให้เราโฆษณาอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆได้อีกหน่อย
และที่สำคัญการโฆษณาแบบ Niche นั้น สร้างความยุ่งยากให้กับเรามากกว่าแบบ Mass เพราะเราต้องศึกษารายละเอียดของสินค้า และนำมาเขียนโฆษณาให้ดี ดังนั้น เมื่อเราจะเหนื่อยมากขึ้น ค่าตอบแทนที่ได้รับกลับมา ก็ควรจะคุ้มค่าเหนื่อยเช่นกัน
3. อย่าลืมใช้ Landing Page ที่เหมาะสมในการโฆษณาแบบ Niche
เพราะในการโฆษณาแบบ Niche เราใช้ Keywords และ Ads ที่เจาะจงมากๆ ดังนั้น เราจึงควรส่งลูกค้าทุกคนไปยังหน้าสินค้าที่เค้ากำลังค้นหาอยู่ทันที ซึ่งจะทำให้ค่า Conversion Rate ของเราสูงขึ้นได้ครับ
4. โฆษณา Mass หนักๆในช่วง Seasonal
ในช่วงหน้าเทศกาลต่างๆที่คนจำเป็นต้องซื้อของขวัญ เพื่อมอบให้กับคนอื่นๆ เช่น ช่วงปีใหม่เป็นต้น เราควรจะเร่งทำโฆษณาแบบ Mass เพราะว่า คนจำนวนมากเหล่านี้ ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญดี ทำให้หลายๆคนเข้ามาเว็บไซต์ Amazon แล้ว จึงค่อยๆคิด ว่าจะไปซื้อของขวัญอะไรดี และสุดท้ายก็เลือกซื้อของบางอย่างใน Amazon ไปเป็นของขวัญนั่นเอง
5. การเขียนข้อความโฆษณา
การเขียนข้อความโฆษณาแบบ Mass คงไม่มีอะไรมาก แต่สิ่งหนึ่งที่แนะนำให้เขียนไว้เลย คือ ชื่อแบรนด์ Amazon.com รวมทั้งการเขียนว่า สามารถซื้อของได้ในราคาถูก หรือ ถูกทุกอย่างที่คุณซื้อ ประมาณนี้ จะช่วยเรียกคนให้คลิกได้มาก
ส่วนการเขียนโฆษณาแบบ Niche นั้น ก็ควรจะมี ยี่ห้อ หรือมีชื่อแบรนด์ของสินค้าที่เราทำโฆษณาใส่ลงไปด้วย รวมทั้งมีการเขียน Display URL เป็น directory ต่างตามประเภทสินค้า เช่น amazon.com/music เป็นต้น ก็จะช่วยให้ข้อความโฆษณาดูน่าสนใจมากขึ้น
6. ดูรายการสินค้าขายดีจากแบบ Mass มาแยกทำโฆษณาแบบ Niche
อย่าลืมว่าทาง Amazon จะแสดงรายการสินค้าที่เราขายได้ขึ้นมาใน Earning Report และ Order Report ด้วย ดังนั้นเมื่อเราทำโฆษณาแบบ Mass ที่มีคนซื้อสินค้าเยอะๆ เราอาจจะเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น เพื่อดูว่า คนซื้อสินค้าอะไรมากเป็นพิเศษ จากนั้นก็ให้ลองทำโฆษณาสินค้ารุ่นนั้น ยี่ห้อนั้นแบบ Niche ดูครับ
7. Bid ต่ำๆในการโฆษณาแบบ Mass
การโฆษณาแบบ Mass นั้น จะมีคนซื้อสินค้ามากก็จริงอยู่ แต่ว่าสินค้าที่คนซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างถูก ทำให้ค่าคอมมิสชั่นเราก็น้อยไปด้วย ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ ควรจะทำโฆษณาเฉพาะใน Mass Keywords ที่มีราคาถูกๆ (ไม่ควรเกิน $0.3) ก็จะทำให้เรามีโอกาสได้กำไรมากขึ้น
และสิ่งสุดท้ายที่ต้องการฝากไว้คือ อย่าลืมทำการวัดผลโฆษณาควบคู่กันไปด้วยเสมอ เพราะนั่นจะเป็นหนทางที่ทำให้เรา สามารถปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น ให้สามารถทำกำไรกลับมาได้ในอนาคตครับ
-
บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
ผู้แต่งหนังสือ Google Make Me Rich และคอลัมนิสต์ของ FF Magazine
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment